วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559
การสถาปนาสาธารณรัฐจีน นอกจากไม่ทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นแล้ว
ยังทำให้ประเทศต้องตกอยู่ในสภาพถอยหลังลงคลอง ปัญหาสงครามกลางเมือง
ปัญหาการถูกเอาเปรียบจากต่างชาติ
ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เกิดวัฒนธรรมใหม่จากชนชั้นปัญญาชน
ปัญญาชนในที่นี้คือกลุ่มวัยรุ่นหนุ่ม-สาว
ที่ได้รับการศึกษาด้านวิชาการต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
กลุ่มปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้ เกิดความรู้สึกนึกคิดว่าต้องช่วยกันรื้อฟื้นความเจริญของประเทศชาติขึ้นมา
มิใช่ปล่อยให้ย่อยยับลงไปเพราะความอัปยศของรัฐบาลในยุคนั้น ซึ่งสิ่งที่มีอิทธิพลทางความคิดของปัญญาชนนอกจากสถานการณ์ภายในประเทศแล้ว
เหตุการณ์ภายนอกประเทศก็มีส่วนอย่างมากเช่นเดียวกัน
อิทธิพลภายนอกประเทศที่มีส่วนต่อความคิดของปัญญาชน
ได้แก่ ชัยชนะของกลุ่มปฏิวัติบอลเซวิค (คณะปฏิวัติของเลนิน)ที่สามารถโค่นราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียได้สำเร็จ
เหตุการณ์ยึดอำนาจในฟินแลนด์
และนโยบายของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่ประกาศสนับสนุนให้นานาประเทศมีสิทธิ์ในการกำหนดรูปแบบการปกครองตนเองได้
เมื่อมีความคิดเช่นนั้น กลุ่มปัญญาชนเริ่มเขียนบทความเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักปรัชญาที่เป็นรากฐานของชีวิตตามแนวขงจื๊อ
รวมถึงให้ยกเลิกกฎและจารีตประเพณีบางอย่างเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งถ่วงความเจริญของชาติ
ผลจากการเรียกร้องดังกล่าวของกลุ่มปัญญาชนทำให้ประชาชนทั่วไป เช่น พ่อค้า นายทุน และคนงานรับจ้าง
เกิดจิตสำนึกทางการเมืองมากยิ่งขึ้น
วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559
ในแผ่นดินจีนช่วงเกิดการปฏิวัติเพื่อโค้นล้มการปกครองแบบศักดินา (ค.ศ. ๑๙๑๑) เมื่อราชสำนักทราบข่าวการก่อปฏิวัติ ก็รีบประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วให้เรียกตัวนายทหารชื่อ หยวนซื่อไข่ กลับมารับราชการอีก
หลังจากถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะคิดหักหลังราชสำนักเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๐๘
หยวนซื่อไข่
ระหว่างที่หยวนซื่อไข่ถูกสั่งพักงานอยู่นั้น
เขาได้เฝ้าสังเกตการณ์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักรมาโดยตลอด และมองอย่างเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างดี
นอกจากนี้เขายังรู้ด้วยว่าตนเองควรยืนอยู่จุดไหน
เมื่อมีคำสั่งให้ตนกลับไปรับตำแหน่งแม่ทัพปราบกบฏ เขาจึงวางเงื่อนไขกับราชสำนักในฐานะผู้ถือไพ่เหนือกว่าไว้ ๖
ข้อ ได้แก่
๑)
ให้ราชสำนักตั้งสภาผู้แทนราษฎรแห่งชาติขึ้นภายในหนึ่งปี
๒)
จัดตั้งเสนาบดีคนใหม่มารับผิดชอบ
๓)
อภัยโทษนักปฏิวัติทั้งหมด
๔)
ยกเลิกคำสั่งที่ราชสำนักเคยออกมาบังคับพรรคการเมือง
๕)
ให้ตนมีอำนาจโดยสมบูรณ์ในการบังคับบัญชากองทัพบกและกองทัพเรือ
๖)
ต้องรับรองว่าราชสำนักมีงบประมาณให้อย่างเพียงพอตลอดการปฏิบัติงาน
เงื่อนไขที่หยวนซื่อไข่ตั้งเอาไว้นี้
แสดงถึงความเข้าใจในสถานการณ์ขณะนั้นเป็นอย่างดีหยวนเอาใจทั้งฝ่ายประชาชนที่กำลังเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เอาใจทั้งฝ่ายนักปฏิวัติและที่สำคัญตนเองต้องมีทหารอยู่ในการปกครองด้วย
ราชสำนักไม่มีทางเลือกอื่น ในเมื่อทหารที่มีประสิทธิภาพที่สุดเป็นคนของหยวน
การที่หยวนไม่ชิงบัลลังก์เสียเองก็เป็นการดีมากแล้ว
จึงยอมรับในเงื่อนไขทั้งหมดแล้วให้สิทธิ์ขาดทุกอย่างในการปราบผู้ก่อการปฏิวัติ
วันที่
๒๙ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๑ ซุนยัตเซ็นได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐจีน
ด้วยเสียงสนับสนุนจากผู้แทนทั้ง ๑๗ มณฑล(อ่านเพิ่มได้ที่เรื่องการปฏิวัติ ๑๙๑๑)
ระหว่างที่คณะปฏิบัติงานของพรรคถงเหมินฮุ่ยที่นำโดยประธานาธิบดีซุนยัตเซ็น
วางแผนที่จะยกทัพขึ้นเหนือเพื่อยึดอำนาจเมืองหลวง
หยวนซื่อไขได้ส่งคนมาเจรจาต่อรองกับคณะรัฐบาลใหม่ที่หนานจิง
หยวนซื่อไขทราบดีว่าการยกทัพจากทางใต้ขึ้นเหนือไม่ใช่เรื่องง่าย
ในทางกลับกันการยกทัพจากทางเหนือเพื่อไปปราบกลุ่มผู้การปฏิวัติทางใต้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน
จึงพยายามยื่นข้อเสนอให้ซุนยัตเซ็นมอบตำแหน่งประธานาธิบดีให้ตน
แล้วตนจะทำให้ราชวงศ์ชิงสละราชสมบัติโดยไม่ต้องหลั่งเลือด
ซุนยัตเซ็นแม้ไม่เห็นด้วยที่จะให้คนที่ไม่เคยซื่อตรงต่อใครอย่างหยวนซื่อไขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี
แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าไม่ต้องหลั่งเลือด และด้วยความเคารพในเสียงของคนส่วนใหญ่(ตามหลักประชาธิปไตย) ตนก็พร้อมจะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีทันที
วันที่
๑๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๑๒ เมื่อซุนยัตเซ็นได้ทราบข่าวการสละราชสมบัติของจักรพรรดิผู่อี้
จากสื่อต่าง ๆ จึงได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีตามที่ได้ตกลง โดยมีเงื่อนไขในใบลาออกระบุไว้ ๓ ข้อ
ว่า
๑)
ที่ตั้งของรัฐบาลชุดใหม่จะต้องอยู่หนางจิงเท่านั้น
๒)
ประธานาธิบดีคนใหม่ที่ได้รับเลือกต้องมารับตำแหน่งที่หนางจิง
๓)
รัฐธรรมนูญของรัฐบาลใหม่ที่ออกโดยสภาผู้แทนราษฎร
ประธานาธิบดีจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
จักรพรรดิองค์สุดท้าย
หยวนไม่เคยคิดที่จะทิ้งฐานอำนาจของตนในปักกิ่งอยู่แล้ว
เมื่อเงื่อนไขในการลาออกเป็นอย่างนี้ ตนจึงต้องหาอุบายเพื่อให้ได้ครองอำนาจในปักกิ่ง
หยวนให้ทหารแต่งกายเป็นชาวบ้านแล้วสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในเขตชุมชมเมืองทั้งที่ปักกิ่ง
ที่เทียนจินและที่เปาติ้งเพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่าสถานการณ์ไม่สงบเช่นนี้ ต้องรีบแต่งตั้งประธานาธิบดีขึ้นมาแก้ไขปัญหาโดยด่วน
บรรดาคณะผู้นำกลุ่มปฏิวัติจำเป็นต้องยอมให้หยวนเข้ารับตำแหน่งที่ปักกิ่ง
ในวันที่ ๑๐ มีนาคม โดยมีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ๕๖ มาตรา มีผลบังคับใช้
สหรัฐอเมริกาเป็นชาติแรกที่รับรองความเป็นรัฐบาลของสาธารณรัฐจีน
เป็นที่น่าสังเกตว่า
บรรดานักปฏิวัติกลับให้ความสำคัญกับหยวนซื่อไข ทั้งที่รู้พฤติกรรมอยู่แล้วว่าเคยหักหลังจักรพรรดิเต๋อจงเมื่อครั้งพระองค์ประกาศปฏิรูปประเทศ
นอกจากนี้ตลอดชีวิตของหยวนเคยชินแต่กับรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ
การที่จะคุยเรื่องหลักประชาธิปไตยกับหยวนคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ตาม
หลังจากหยวนซื่อไขได้เป็นประธานาธิบดี รัฐบาลคณะใหม่ได้วางโครงสร้างการปกครองไว้
ดังนี้
หยวนแต่งตั้งให้นายทหารคนสนิทเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ
ๆ ๕ คน ตำแหน่งรองลงมาเป็นของสมาชิกกลุ่มปฏิวัติ ๔ คน
ซุนยัตเซ็นได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างทางรถไฟสายเหนือ หวงซิง อดีตแม่ทัพของกลุ่มปฏิวัติได้เป็นผู้อำนวยการสร้างทางรถไฟสายใต้
ตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
ระบุเอาไว้ว่าต้องจัดให้มีการเลือกตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นภายใน ๖ เดือน
หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ผู้ที่มีสิทธิ์ออกเสียงต้องมีอายุ ๒๑ ปีขึ้นไป
จบการศึกษาชั้นประถม ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ออกเสียง
เมื่อรัฐสภาจัดให้มีการเลือกตั้ง
พรรคการเมืองที่เข้าสมัครรับเลือกตั้งมีทั้งหมด ๔ พรรค
กลุ่มนักปฏิวัติใช้ชื่อพรรคใหม่ว่ากั๋วหมินตั่ง ภายใต้การนำของซ่งเจี้ยวเหริน
(อดีตผู้นำคนที่สามของกลุ่มปฏิวัติ) มีนโยบายสำคัญคือ รัฐสภาสามารถตรวจสอบและยับยั้งการใช้อำนาจของประธานาธิบดีได้
เมื่อผลของการเลือกตั้งครั้งแรกในประศาสตร์ของสาธารณรัฐจีนออกมา
พรรคกั๋วหมินตั่งได้คะแนนเสียงข้างมาก เมื่อจัดตั้งคณะรัฐบาลเสร็จ
ตามรัฐธรรมนูญสามารถผลักดันให้มีการเลือกประธานาธิบดีตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยได้
เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏผลเป็นอย่างนี้
หยวนจำเป็นต้องดำเนินการตามวิธีที่ตนถนัดที่สุดคือ
การซื้อคนมาเป็นพวกถ้าซื้อไม่ได้ก็สังหารทิ้ง
ปรากฏว่าหยวนซื้อสมาชิกพรรคกั๋วหมินตั่งได้หลายคนยกเว้นหัวหน้าพรรค
ยังผลให้ก่อนที่จะมีการประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีชุดใหม่ ซ่งเจี้ยวเหริน ได้กลายเป็นศพไปเรียบร้อยแล้ว
การตายของซ่งเจี้ยวเหริน
สร้างความโกรธแค้นให้แก่บรรดานักปฏิวัติและสมาชิกพรรคกั๋วหมินตั่งเป็นอย่างมาก
หยวนคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าต้องเกิดสงครามกลางเมืองอย่างแน่นอน
จึงหาทุนเอาไว้ใช้ยามสงครามด้วยการขอกู้เงินจากสหธนาคารของชาวต่างชาติ ๒๕
ล้านปอนด์ เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายของกองทัพ
โดยเอาภาษีเกลือของรัฐบาลจีนเป็นสิ่งค้ำประกัน
การกู้เงินจำนวนมากมายของหยวนไม่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ
ไม่ได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ทำให้เกิดกระแสการคัดค้านอย่างหนัก หยวนเองไม่ต้องการรับฟังเสียงคัดค้านจึงสั่งปลดทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับตน
สุดท้ายผู้ว่าการมณฑลต่าง ๆ ประกาศตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อรัฐบาลของหยวนอีกต่อไป
สงครามกลางเมืองได้อุบัติขึ้น
เมื่อหยวนส่งกองทัพเป่ยหยางเข้าปราบกลุ่มนักปฏิวัติและผู้ว่าการมณฑลต่าง ๆ ที่ประกาศตนเป็นอิสระ
ด้วยการปฏิบัติการอย่างเฉียบขาดของกองทัพเป่ยหยาง
ภายในสองเดือนกลุ่มผู้ต่อต้านต้องประกาศยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข
หลังจากนั้นหยวนได้แต่งตั้งให้แม่ทัพที่มีความดีความชอบเข้าไปปกครองแทนผู้ว่าการคนเดิม
การเข้ามาครองอำนาจในมณฑลต่าง ๆ ของเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายเหล่านี้
ทำให้การบ้านเมืองในอุดมคติของซุนยัตเซ็นต้องแตกสลาย
ระบอบประชาธิปไตยที่คิดว่าจะช่วยพัฒนาประเทศให้ดีขึ้นกลับเป็นเครื่องมือให้เหล่าผู้มีอำนาจใช่เอาเปรียบประชาชน
วันที่
๑๐ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๓ มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งแน่นอนว่าหยวนต้องได้รับตำแหน่งนี้
เมื่อได้ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการหยวนประกาศยุบตำแหน่งสภาผู้แทนราษฎรและตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา
พร้อมกับประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา
ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่ง ๑๐ ปี มีอำนาจบริหารประเทศทั้งหมด มีอำนาจประกาศสงคราม
มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนข้าราชการทุกระดับชั้น มีอำนาจออกกฎหมาย มีอำนาจยกเลิกกฎหมาย
ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม
อำนาจที่หยวนมีในตอนนี้ถือได้ว่าเทียบเท่ากับองค์จักรพรรดิ
ต่างกันตรงที่ชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้นเอง จุดนี้เองทำให้หยวนเกิดความคิดที่จะกลับไปใช่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ระหว่างที่หยวนพยายามที่จะก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ
สงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็อุบัติขึ้น (ค.ศ. ๑๙๑๔) ญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นจังหวะอันดี
ที่จะเข้ามารุกรานอาณาจักรจีนจึงเลือกอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร
โจมตีเขตสัมปทานของเยอรมันที่อยู่ในแผ่นดินจีน
กองทัพญี่ปุ่นสามารถยึดเขตสัมปทานของเยอรมันในซานตงได้
แล้วใช้ที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่นสำหรับขยายอำนาจของตนในแผ่นดินจีนต่อไป
รัฐบาลจีนไม่ต้องการปะทะกับญี่ปุ่นโดยตรงเพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ด้อยกว่าจึงเสนอให้มีการเจรจา
วันที่
๑๘ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๑๕ มีการเจรจาระหว่างทูตญี่ปุ่นกับหยวนซื่อไข่อย่างลับ ๆ ทูตญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอว่าจะสนับสนุนหยวนให้ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ
แต่รัฐบาลจีนต้องยินยอมตามเงื่อนไขทั้ง ๒๑ ประการ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเรียกร้อง
ซึ่งเงื่อนไข ๒๑ ประการ ที่ญี่ปุ่นเรียกร้องมีสาระสำคัญ ดังนี้
-
จีนต้องยินยอมให้ญี่ปุ่นมีอำนาจในซานตง
-
ญี่ปุ่นต้องได้สิทธิ์ทุกอย่างของเยอรมันและของรัสเซียที่เคยได้จากจีน
-
จีนต้องเปิดแมนจูเรียและมองโกลเลียในให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน
-
ญี่ปุ่นต้องได้สิทธิ์ในการทำเหมืองแร่และทางรถไฟ
-
โรงงานเหล็กกล้าที่ฮั่นเยี่ยผิงจะต้องเป็นกรรมาสิทธิ์ร่วมระหว่างจีนกับญี่ปุ่น
-
จีนต้องไม่ยินยอมให้ หรือให้เช่าท่าเรือ
อ่าวหรือเกาะไม่ว่าจะเป็นแห่งหนึ่งแห่งใดแก่ชาติอื่นยกเว้นญี่ปุ่น
-
จีนต้องว่าจ้างชาวญี่ปุ่นเป็นที่ปรึกษาทางการเมือง การคลังและการทหาร
-
กิจการตำรวจในบริเวณพื้นที่สำคัญ ๆ ต้องเป็นบริการร่วมกันระหว่างชาวจีนกับชาวญี่ปุ่น
ฯลฯ
หยวนติดสินใจเพียงบุคคลเดียวยอมรับเงื่อนไขทั้ง
๒๑ ข้อที่ทูตญี่ปุ่นเสนอ เมื่อประชาชนทราบเรื่องก็พากันโกรธแค้นรัฐบาลจีน
และโกรธแค้นชาวญี่ปุ่น ต่างพากันปฏิญาณตนว่า “จะต่อต้านชาวต่างชาติ
และกำจัดคนทรยศในแผ่นดิน”
เดือนสิงหาคม
ค.ศ. ๑๙๑๕ หยวนเริ่มแสดงเจตจำนงอย่างเปิดเผยที่จะเป็นจักรพรรดิ
โดยมอบหมายให้หยางตู้ไปสร้างกระแสมวลชน
หยางตู้ได้สร้างเหตุการณ์อัศจรรย์มีการพบกระดูกมังกรแล้วเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ว่า
บัดนี้ประเทศต้องการจักรพรรดิ ฯลฯ เพื่อสนับสนุนให้หยวนได้ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิอย่างชอบธรรม
หยวนซื่อไข่ประกาศให้ชาวจีนทราบข่าวว่า
ในวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๑๖ จะเป็นวันราชาภิเษก
ระหว่างนั้นกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการเป็นจักรพรรดิของหยวนซื่อไข่เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น
หยวนสั่งให้ต้วนฉีรุ่ยกับเฝิงกั๋วจางแม่ทัพคนสนิทยกทัพไปปราบแต่ทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยอ้างว่าป่วย
ต่อจากนั้นเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายที่หยวนเคยแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการประจำมณฑลต่าง
ๆ ประกาศตัวเป็นอิสระไม่ยอมรับคำสั่งของหยวนอีกต่อไป
ทางทหารของรัฐบาลญี่ปุ่นที่หยวนเคยหวังพึ่งก็ปลีกตัวหนี
สุดท้ายหยวนจำเป็นต้องกลืนกินน้ำลายตนเองที่ถ่มออกไปแล้ว
โดยการขอรื้อฟื้นคณะรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่แต่บัดนี้ไม่มีใครยอมรับการกระทำของหยวนได้อีกแล้วเมื่อต้องเผชิญกับความผิดหวังและสิ้นหวังในทุก
ๆ ประการ อาการป่วยด้วยโรคโลหิตเป็นพิษก็กลับมารุมเร้าจนสิ้นใจในวันที่ ๖ มิถุนายน
ค.ศ. ๑๙๑๖
หยวนซื่อไข่ ขณะเข้าพิธีไหว้ฟ้าดิน
มรดกของหยวนซื่อไข่
ดังได้กล่าวมาแล้ว
เมื่อครั้งที่ผู้ว่าการมณฑลต่าง ๆ ประกาศตัวเป็นอิสระหยวนได้มอบหมายให้แม่ทัพนายกองนำกำลังทหารไปปราบ
จนแม่ทัพเหล่านั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการประจำมณฑลต่าง ๆ แทนคนเดิม
ตลอดระยะเวลา
๔ ปี ที่หยวนเป็นประธานาธิบดี ผู้ว่าการคนใหม่ทั้งหลายเหล่านี้โดยหน้าฉากก็แสดงบทจงรักภักดีแต่หลังฉากกลับแสดงการต่อต้าน
หยวนเองก็พอจะรู้พฤติกรรมของเหล่าแม่ทัพนายกองเหล่านี้
จึงมีคำสั่งให้สลายกองกำลังทหารหรือให้ทหารปลดประจำการอยู่เรื่อย ๆ
แม้กระนั้นจำนวนทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ของแต่ละมณฑลก็เพิ่มขึ้นตลอด
ผู้ว่าการทหารแต่ละมณฑลเริ่มติดต่อโดยตรงกับนายทุนเงินกู้ต่างชาติ
โดยเอาทรัพยากรธรรมชาติของแต่ละมณฑลเป็นสิ่งค้ำประกัน
บางมณฑลถึงกับพิมพ์ธนบัตรใช้เองโดยไม่สนใจรัฐบาลกลางเลย
ลักษณะเฉพาะในยุคที่เหล่าแม่ทัพนายกองเป็นผู้ว่าการมณฑล
คือบ้านเมืองเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย มีเหตุการณ์ฆาตกรรมและการข่มขืนเกิดขึ้นรายวัน
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ทหารเป็นผู้กระทำเสียเองเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเป็นดังนี้ชาวบ้านทั่วไปต่างต้องการอาวุธปืนเพื่อใช้ป้องกันตัว
เมื่อประชาชนมีปืนกฎหมายย่อมไม่ศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นเอกภาพของประเทศค่อย ๆ หมดสิ้นไป
เมื่อหยวนซื่อไข่ตายหลี่เหยียนหงเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อ
หลี่ไม่มีกำลังทหารอยู่ใต้บังคับบัญชา
ทำให้ถูกจอมพลจางซุนผู้ว่าการมณฑลเหอหนานก่อรัฐประหาร
ถัดจากนั้นไม่ถึงสองสัปดาห์
จอมพลต้วนฉีรุ่ยนำทหารกองทัพเป่ยหยาง ๒๐๐,๐๐๐ นาย บุกมาโค่นอำนาจของจอมพลจางซุนที่ปักกิ่ง
เมื่อโค่นได้แล้วก็แต่งตั้งเฟิงกั๋วจางเป็นประธานาธิบดีตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี
พัฒนาการของทหารในมณฑลต่าง
ๆ
ที่พยายามสร้างฐานอำนาจให้แก่กลุ่มของตนเองและความหายนะที่เกิดในแผ่นดินจีนตลอดระยะเวลาที่หยวนซื่อไข่กุมอำนาจ
ถือเป็นมรดกที่หยวนได้มอบให้แก่แผ่นดินแม่ของตน
ประชาธิปไตยที่มีผู้นำยึดมั่นในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ประชาธิปไตยที่ไม่เคยสนใจความคิดเห็นของประชาชน
ประชาธิปไตยที่แก้ไขปัญหาโดยการใช้กำลังทหาร
ประชาธิปไตยที่ขอให้ทุกคนทำตามคำสั่งโดยปราศจากความสงสัยหรือการโต้แย้ง
นี้คือหลักประชาธิปไตยในแบบที่หยวนซื่อไข่ใช้มาตลอดระยะเวลา ๔ ปี
ที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีปกครองสาธารณรัฐจีน
ซุนจงซาน
หรือเรียกเป็นสำเนียงกว่างตงว่า ซุนยัตเซ็น เกิดปี ค.ศ. ๑๘๖๖ ณ หมู่บ้าน ซุนเฮิง อำเภอจงซาน มณฑลกว่างตง
ตอนอายุ
๑๓ ปี เด็กชายซุนยัตเซ็นได้ออกเดินทางไปอยู่กับพี่ชายที่เกาะฮาวาย (Hawaii) และได้เข้าเรียนในโรงเรียนไอโอคอลเล็จ (IO. College) เป็นโรงเรียนของศาสนาคริสต์ นิกายแองลิคาน
เมื่อสำเร็จการศึกษา ซุนได้รับรางวัลจากการสอบไวยากรณ์ได้เป็นอันดับที่สองของโรงเรียน
ปี ค.ศ.
๑๘๘๓ ขณะที่ซุนยัตเซ็นอายุได้ ๑๘ ปี พี่ชายได้ส่งกลับมาบ้าน
เพราะเห็นว่าซุนคิดจะเปลี่ยนศาสนาไปนับถือคริสต์ แต่เมื่อซุนมาอยู่ที่จีนเขาได้ขอพ่อแม่เพื่อไปเรียนต่อที่ควีนคอลเล็จ
(Queen College) และในที่นี้เองเขาได้เข้ารีตรับศีลเป็นคริสต์ศาสนิกชนโดยสมบูรณ์
ในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างจีน
– ฝรั่งเศส ซุนเกิดความรู้สึกสลดใจที่เห็นประเทศตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาวต่างชาติ
และเกิดความรู้สึกชิงชังราชวงศ์แมนจู เพราะเขามองว่าราชวงศ์แมนจูเป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้นี้
พร้อมกับปฏิญาณกับเพื่อนสนิทว่า ตนจะโค่นล้มอำนาจราชวงศ์ชิงให้จงได้
เมื่อซุนสำเร็จการศึกษาจากควีนคอลเล็จ
เขาได้เดินทางไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยการแพทย์เพื่อชาวจีนในฮ่องกง ทำให้ได้รู้จักกับ
ดร.เจมส์ แคลต์ลี (Jame Cally) ผู้ซึ่งเป็นทั้งครูสอนวิชาแพทย์และสอนวิชาการเมือง
จนทำให้ซุนมีความคิดที่จะทำการปฏิวัติในประเทศของตน
หลังจากที่สำเร็จการศึกษา
ซุนได้เปิดคลินิกที่กว่าวโจว ณ ที่แห่งนี้เองเขาได้พบกับหลวงจีนเต้าซือ
นักบวชลัทธิเต๋าผู้ซึ่งชี้ทางให้ความคิดของซุนกลายการปฏิบัติจริงจัง หลวงจีนแนะนำว่า
“ถ้าจะปฏิวัติจีนให้สำเร็จจะต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาคมลับทั้งหลาย”
ซุนจึงเริ่มสร้างที่ทำการคณะปฏิวัติขึ้นโดยใช้คลินิกของตนเป็นที่ทำการแห่งแรก
ค.ศ.
๑๘๙๔ ซุนได้สร้างที่ทำการของคณะปฏิวัติขึ้นหลายแห่งในกว่างโจว และฮ่องกง
สมาชิกแต่ละคนที่จะเข้าสมาคมต้องปฏิญาณตนว่า “จะขับไล่แมนจู กอบกู้การปกครองของจีน
สถาปนาสาธารณรัฐขึ้น” ถึง ค.ศ. ๑๘๙๕
เมื่อสามารถรวมคนและอาวุธสงครามได้ในระดับหนึ่ง ก็เริ่มวางแผนเข้ายึดกว่างโจว
แต่เนื่องจากมีสมาชิกในกลุ่มทรยศ จึงทำให้ทหารของฝ่ายรัฐบาลนำกำลังมาล้อมจับ เหตุการณ์ล้อมจับในครั้งนี้
ทำให้มีสมาชิกของสมาคมลับถูกจับไปถึง ๔๗ คน ส่วนซุนยัตเซ็นหนีไปญี่ปุ่น
เมื่อมาถึงญี่ปุ่น
ซุนได้พบข้อความในหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นรายงานข่าวว่า “กลุ่มปฏิวัติพยายามยึดอำนาจในกว่างโจว”
นับตั้งแต่นั้น ซุนได้ตัดผมเปียออกแต่งกายแบบชาวตะวันตกและใช้ชื่อความพยายามยึดอำนาจทุกครั้งว่าเป็น
การปฏิวัติ
มิถุนายน
ค.ศ. ๑๘๙๖ ซุนออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา แล้วต่อไปอังกฤษเพื่อศึกษาวิชาการต่าง ๆ ณ ห้องสมุดซุนได้ศึกษารัฐศาสตร์ตะวันตก
เศรษฐศาสตร์ เกษตรศาสตร์ กฎหมาย และวิชาทหาร ตลอดเวลา ๙ เดือนเต็มที่อยู่อังกฤษ
จากการได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้กับคนในอังกฤษทำให้ซุนได้สรุปหลักการปฏิวัติสังคมเพื่อนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไว้
๓ ข้อ ได้แก่
๑)
หมินจู้จู่อี้ (สร้างชาตินิยม) หมายถึง
การโค่นล้มระบอบการปกครองเดิมและการปลดแอกจักรพรรดินิยมต่างชาติออกไป
๒)
หมินฉวนจู่อี้ (สร้างประชาธิปไตย) หมายถึง การมีสิทธิ ๔ ประการ ของประชาชน คือ
-
การแสดงความคิดเห็น
- การลงประชามติ
- การเลือกบุคคล
- การออกเสียงถอดทอนผู้แทน
๓)
หมินเซินจู่อี้ (สร้างสังคมนิยม) หมายถึง ให้ความเสมอภาคในการเป็นเจ้าของที่ดิน
หลัก
๓ ข้อนี้ เรียกว่า หลักไตรราษฎร์ ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นนโยบายหลักของพรรค กั๋วหมินตัง
ปี ค.ศ.
๑๘๙๙ ขณะที่ซุนยัตเซ็นอายุได้ ๓๓ ปี เขาได้เดินทางกลับมาที่ฮ่องกงเพื่อดำเนินแผนการปฏิวัติอีกครั้งหนึ่ง
โดยแบ่งแผนการปฏิวัติออกเป็น ๓ รูปแบบ คือ
รูปแบบที่
๑ มีเฉินเชาปอทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ โดยการออกหนังสือพิมพ์รายวัน
พิมพ์แจกในกว่างโจวและฮ่องกง
รูปแบบที่
๒ มีซื่อเจียนหยูกับฮิรายามะไปสร้างเครือข่าย
กระชับสัมพันธ์กับกลุ่มสมาคมลับทั้งในและนอกประเทศ
รูปแบบที่
๓ มีเจิ้งซื่อเหลียงทำหน้าที่ตั้งรับ
โดยเปิดศูนย์รับผู้ร่วมอุดมการณ์และรับความคิดเห็นขึ้นที่ฮ่องกง
ปี ค.ศ.
๑๙๐๐ ความล้มเหลวในการปราบกลุ่มกบฏนักมวยของราชสำนัก
จนมีความเสียหายอย่างใหญ่หลวงส่งผลให้ประชาชนไม่เชื่อถือในการปกครองแบบเดิม
บรรดาปัญญาชนทั้งหลายต่างพูดถึงแต่การปฏิวัติของซุนยัตเซ็นกันทั้งสิ้น
ข้อเขียนที่มีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของปัญญาชนเป็นอย่างมากในยุคนั้น
คือข้อเขียนของเด็กหนุ่มวัย ๑๙ ปี ชื่อว่าโจวหรง
บทความของโจวหรงถูกจัดพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สูเป้า
(หนังสือพิมพ์ในสังกัดของซุนยัต-เซ็นมีที่ทำการอยู่เซียงไฮ้) มีความยาว ๒,๐๐๐ คำ
ใช้ชื่อเรื่องว่า เก้อมิ่งจุน (กองทัพปฏิวัติ) มีข้อความบางตอนเขียนว่า
“ในเมื่อท่านมีรัฐบาลของท่าน
ท่านก็กุมอำนาจปกครองมันเสียเอง ท่านมีกฎหมายจงปกป้องมันด้วยตัวท่านเอง
ท่านมีอุตสาหกรรม ท่านก็จัดการบริหารด้วยตัวท่านเอง”
โจวหรงต้องการชี้นำให้ประชาชนกล้าที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนและกล้าที่จะออกมาต่อต้านการปกครองในระบอบเก่า
เพียงเดือนเดียวหลังจากบทความถูกตีพิมพ์
กลุ่มนักเขียนสังกัดสำนักพิมพ์สูเป้ารวมทั้งโจวหรง
ถูกทางการแมนจูจับกุมในข้อหาแสดงความคิดเห็นให้ยกเลิกสิทธิพิเศษของจักรพรรดิ
มีโทษติดคุก ๓ ปี โจวหรงถูกทรมานและถึงแก่กรรมในคุกนั้นเอง
ระหว่างปี
ค.ศ. ๑๙๐๒ – ๑๙๐๕ กระแสการปฏิวัติสูงขึ้นมาตามลำดับ
ซุนยัตเซ็นได้เรียกประชุมกับผู้นำคณะปฏิวัติกลุ่มต่าง ๆ ที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่น
ในที่ประชุมซุนยัตเซ็นได้ชี้แจงให้เห็นถึงความจำเป็นในการกองตั้งพรรคการเมืองขึ้น
ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นชอบด้วย จึงได้มีการจัดตั้งพรรคขึ้นในปี ค.ศ.๑๙๐๕ ใช้ชื่อพรรคว่า
ถงเหมินฮุ่ย มีซุนเป็น จ๋งหลี (ประธานพรรค) มีนโยบายหลักของพรรคคือกฎไตรราษฎร์
ช่วงก่อตั้งพรรคใหม่
ๆ มีสมาชิกภายในพรรค ๓๐๐ คน ในปีต่อมาเพิ่มขึ้นถึงหลักพัน
กระจายและแทรกซึมอยู่ทั่วไปตั้งแต่มณฑลกว่างโจว เจ๋อเจียง กว่างตง กว่างซี และเซียงไฮ้
ซุนยัตเซ็นออกเดินทางไปที่ต่าง
ๆ เพื่อหาทุนมาสนับสนุนการปฏิบัติงานของพรรค
และหาโอกาสพบกับบุคคลสำคัญของแต่ละประเทศเพื่อรับทราบข้อมูลของว่ามีท่าทีต่อรัฐบาลแมนจูอย่างไร
วันที่
๒๙ เมษายน ค.ศ. ๑๙๑๑ กองกำลังปฏิวัตินำโดยหวงซิง
ผู้นำอันดับสองของพรรคนำกำลังเข้ายึดอำนาจในกว่างโจวแต่ไม่สำเร็จ
การปฏิบัติการครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต ๗๒ คน
ความพยายามในการยึดอำนาจของคณะปฏิวัติในครั้งนี้เป็นครั้งที่สิบนับตั้งแต่เริ่มก่อการปฏิวัติ
ตุลาคม
ค.ศ. ๑๙๑๑ หลังจากยึดอำนาจที่กว่างโจวไม่สำเร็จ หวงซิงกับหูฮั่นหมินหนีไปฮ่องกง
ขณะที่ซุนยัตเซ็นอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ฝ่ายปฏิบัติงานของคณะปฏิวัติที่ประจำอยู่ที่อู่ฮั่นได้วางแผนที่ยึดอำนาจครั้งต่อไปที่อู่ชาง
เลยเชื้อเชิญให้หวงซิงกลับมาเป็นผู้นำในการปฏิวัติครั้งนี้
หวงซิงตอบตกลง
แต่ต้องเลื่อนกำหนดการไปเป็นวันที่ ๑๖ ตุลาคม ขณะที่กลุ่มปฏิบัติงานรอผู้นำ
ข่าวการยึดอำนาจเริ่มระแคะระคายไปถึงฝ่ายรัฐบาลบ้างแล้ว
ในวันที่
๙ ตุลาคม เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่เขตสัมปทานของรัสเซียในฮั่นโข่ว
ซึ่งเขตนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวและเก็บอาวุธของกลุ่มปฏิวัติ
เมื่อตำรวจมาถึงจุดเกิดเหตุได้พบตราและคำแถลงการณ์ต่าง ๆ มากมาย
นอกจากนี้ยังมีใบรายชื่อของทหารใหม่ที่หันไปสนับสนุนกลุ่มปฏิวัติอีกด้วย
กลุ่มปฏิวัติที่ประจำอยู่อูฮั่นเมื่อทราบข่าวการพบหลักฐาน
ก็เกิดร้อนใจเพราะสมาชิกส่วนใหญ่เป็นทหารกองทัพใหม่ทั้งสิ้น
ถ้าขืนรอคงถูกจับไปประหารชีวิตกันหมดแน่
วันที่
๑๐ ตุลาคม เวลา ๒๑.๐๐ น. เซิ่งผิงจุนนายสิบสังกัดกองพันทหารช่าง
(สมาชิกพรรคถงเหมินฮุ่ย) นำกำลังทหารเข้ายึดคลังกระสุน เมื่อยึดคลังกระสุนได้สำเร็จก็ส่งข่าวไปแจ้งกองพันทหารช่างที่แปด
กองพันปืนใหญ่และเหล่าพลาธิการ ให้ยกกำลังมาสมทบที่ฉูวังไถ
เมื่อกำลังสมทบมาถึงจุดนัดหมาย
รวมแล้วมีทหาร ๓,๐๐๐ นาย เซิ่งผิงจุนได้สั่งการให้เคลื่อนทัพเข้าไปโจมตีทำเนียบผู้สำเร็จราชการที่อู่ชาง
ด้านกำลังทหารของรัฐบาลที่ประจำการอยู่อู่ชางมี ๑๕,๐๐๐ นาย
แต่หนึ่งในสามของทหารทั้งหมดนี้เป็นสมาชิกพรรคถงเหมินฮุ่ย
เมื่อเกิดการปะทะกันขึ้นระบบบัญชาการเลยไม่เป็นผลต่างฝ่ายต่างมึนงง
ช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างทหารรัฐบาลกับกลุ่มนักปฏิวัติ
รุ่ยจิงซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จอู่ชาง
เจาะกำแพงด้านหลังทำเนียบแล้วพาครอบครัวหนีไปทางเรือ
จางเปียวผู้บังคับบัญชากองทัพหนีตามไปด้วย
สุดท้ายทหารรัฐบาลประกาศยอมแพ้เพราะไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร
เช้าวันที่
๑๑ ตุลาคม หลังจากยึดอำนาจที่อู่ชางได้สำเร็จ
กลุ่มนักปฏิวัติได้เรียกประชุมเพื่อเลือกผู้นำชั่วคราว
หลี่เหยียนหงได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการทหาร
ถังฮวาหลงอดีตประธานสภามณฑลหูเปยได้รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการพลเรือน
จากนั้น
ถังฮวาหลงได้ประกาศยกเลิกอำนาจจักรพรรดิผู่อี้ เปลี่ยนชื่อประเทศจากจงกั๋ว เป็น ฮวาหมินกั๋ว
(สาธารณรัฐจีน) แล้วส่งโทรเลขไปถึงมณฑลต่าง ๆ ให้ประกาศตนเป็นอิสระ
มณฑลหูเป่ยประกาศตนเป็นอิสระเป็นมณฑลแรก
หูหนานประกาศตนเป็นอิสระในวันที่ ๒๒ เจียงซีประกาศตนวันที่ ๒๔ ซานซีวันที่ ๒๙
หยุนหนานวันที่ ๓๐ เจ๋อเจียงและเจียงซูประกาศเป็นอิสระวันที่ ๔ พฤศจิกายน
ซานตงวันที่ ๑๓ เสฉวนเป็นมณฑลเดียวที่ต้องหลั่งเลือดในการประกาศอิสรภาพจากราชวงศ์ชิง
ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน จึงสามารถประกาศอิสรภาพได้สำเร็จ
คงเหลือมณฑลจึ๊ลี่
เหอหนาน ที่เป็นเขตอิทธิพลของเมืองหลวงโดยตรงและมณฑลที่ติดพรมแดนอย่าง ซินเจียงกับกานสูที่ยังไม่ประกาศอิสระ
ระหว่างนี้
ซุนยัตเซ็นอยู่ที่กรุงลอนดอนเมื่อได้รับโทรเลขที่แจ้งข่าวเกี่ยวกับความสำเร็จของการปฏิวัติ
ก็ไม่คะนองใจรีบวางแผ่นเกี่ยวกับงานขั้นต่อไปเพื่อให้การปฏิวัติในครั้งนี้ได้ชัยชนะอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าในยุคต้นของราชวงศ์ชิง
อาณาจักรจีนจะสามารถขยายเขตอิทธิพลได้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด
แต่อาณาจักรจีนก็อยู่ในสถานะดินแดนที่โดดเดี่ยว เมื่อมีภัยจากภายนอกเข้ามารุกรานก็ต้องสู้อยู่เพียงลำพัง
การรวมอำนาจการปกครองไว้ส่วนกลาง
มีข้อดีที่เด่นชัดอยู่ประการหนึ่งคือ สามารถนำพาอาณาจักรให้ข้ามพ้นจากความทุกข์เข็ญแล้วสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
แต่แน่นอนว่า เมื่อมีผู้นำขาดคุณธรรมและความสามารถขึ้นมาปกครองแผ่นดิน
ย่อมทำให้เกิดความฉิบหายได้ง่ายเช่นเดียวกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
เสียงเพรียกแห่งธรรม
บทความยอดนิยม
-
อาณาจักรจีนนับตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่สุด คนจีนในยุคก่อนเลยมีความเชื่อว่าอาณาจักรของตนเป็นเจ้าโลก จึงมักเรียก...
-
ในปี 2554 ที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดจากการใช้ Social Media ในการกระจายข่าว จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองมาแล้วในหลาย...
-
ในแผ่นดินจีนช่วงเกิดการปฏิวัติเพื่อโค้นล้มการปกครองแบบศักดินา (ค.ศ. ๑๙๑๑) เมื่อราชสำนักทราบข่าวการก่อปฏิวัติ ก็รีบประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องแล้...
-
นักปฏิวัติและกวีสาวที่อุทิศชีวิตเพื่ออุดมการณ์ มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะเธอเป็นหญิงจีนคนแรกที่กล้าออกมาเรียกร้องส...
-
เด็กๆ มันบ่น ประชาชนเบื่อจนคนในชาติเกือบจะเป็นบ้า เพราะนักปกครองดีแต่พูด อวดดี หูเบา ปากบอน บุ่มบ่าม บ้าระห่ำ และหลงอำนาจ ขอท...
-
เมืองไทยของเรา เข้าทางลำบาก เพราะคนใช้ปาก พูดจาถากถาง ด่าทอโจมตี กาลีทุกทาง สามัคคีอับปาง ทุกอย่างวุ่นว...
-
โดย.... นิติภูมิ นวรัตน์ 19 เม.ย. 59 ไทยรัฐออนไลน์ แนวโน้มที่จะก่อให้เกิดวิกฤติความขัดแย้งขั้นสูงถึงขั้นเลือดท่วมแผ่นดิน มาตรา 31...
-
"คนกลุ่มไหนแต่งตั้ง ก็ต้องไปรับใช้คนกลุ่มนั้น" โดย นิติภูมิ นวรัตน์ ท่านผู้ใหญ่ถามผมว่า ถ้าการเมืองถอยหลัง ยอมให้ ส.ว.เลือกนาย...
-
ช่วงปลายรัชสมัยของจักรพรรดิเฉิ่งจื่อ (ค.ศ. ๑๔๐๓ - ๑๔๒๔) อาณาจักรจีนต้องประสบกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างหนัก สาเหตุของปัญหานี้เกิดจา...
-
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มก่อการปฏิวัติ โดยเจตนาแรกที่บอกแก่ประชาชนว่าที่ต้องทำเช่นนี้เพราะ ต้องการให้บ้า...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Icon
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.