วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

On 02:12 by EForL   No comments
อาณาจักรจีนนับตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่สุด คนจีนในยุคก่อนเลยมีความเชื่อว่าอาณาจักรของตนเป็นเจ้าโลก จึงมักเรียกคนเผ่าอื่นว่า คนเถื่อน
ในรัชสมัยจักรพรรดิเต๋อจง (ค.ศ. ๑๘๗๕- ๑๙๐๘) แห่งราชวงศ์ชิง อาณาจักรจีนต้องแพ้สงครามมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องพ่ายแพ้ให้แก่ชาวญี่ปุ่น ประชาชนชาวจีนถือว่าเป็นความอัปยศอย่างที่สุด จึงเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองอย่างรีบด่วน

บุคคลที่มีอิทธิผลทางความคิด ในการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนในยุคนี้มี ๓ ท่าน ได้แก่ ถานซื่อถง เอี๋ยนฟุและคังอิ๋วหวุย
คังอิ๋วหวุย เกิดในมณฑลกว่างตง ตระกูลเป็นขุนนางที่มีอิทธิพลและเป็นผู้รักษาคำสอนของขงจื๊อสืบต่อกันมายาวนานมาก ในวัยเด็กคังได้รับการศึกษาจากปรมาจารย์ของลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า และพระพุทธศาสนา จนสำเร็จตามหลักสูตรทุกประการ จากนั้นเขาเริ่มศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การเมืองร่วมสมัยตลอดจนถึงบทวิจารณ์ตั้งแต่สมัยซ่ง
ค.ศ. ๑๘๗๙ คังได้เดินทางมาสอบไล่ที่ปักกิ่ง การได้มาที่ปักกิ่งในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเขามีโอกาสได้ศึกษาตำราตะวันตกและสอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ กับบาทหลวง จนมีความคิดที่จะปฏิรูประบบการศึกษาและการเมืองการปกครองในอาณาจีน
เนื่องจากคังเป็นคนจริงเมื่อได้คิดแล้วต้องลงมือทำด้วย เขาได้เริ่มเขียนบันทึกทูลเกล้าฯ ถึงจักรพรรดิเต๋อจง มีเนื้อหาเกี่ยวกับสาเหตุความพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่น และเขียนเกี่ยวกับการปฏิรูปทางกฎหมายเพื่อให้เป็นแม่บทในการบริหารอาณาจักร
แม้ว่าบันทึกทูลเกล้าฯ ครั้งแรกนี้จะไม่ถึงองค์จักรพรรดิ แต่นักการเมืองที่มีอิทธิพลหลายคนได้อ่านและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนในที่สุดหลี่หงจาง เวิงถงเหอและหยงลุต้องเรียกตัวให้มาพบ
การสนทนากันระหว่างคังอิ๋วหวุยกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ใช้เวลาถึง ๓ ชั่วโมง มีประโยคสนทนาที่ทำให้ขุนนางได้คิด เช่น
หยงลุ: สถาบันการปกครองต่าง ๆ ของบรรพบุรุษนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้
คังอิ๋วหวุย: ถ้าเราไม่สามารถรักษาอาณาจักรของบรรพบุรุษไว้ได้ สถาบันต่าง ๆ ของท่านจะมีประโยชน์อะไร
หลี่หงจาง: ถึงแม้องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เปลี่ยนแปลง ก็ใช้ว่าจะทำได้ง่าย ๆ
คังอิ๋วหวุย: เป็นธรรมดาของการเปลี่ยนแปลง คนที่ได้ประโยชน์ย่อมสนับสนุนคนที่เสียประโยชน์ย่อมคัดค้าน
วันต่อมาจักรพรรดิเต๋อจงมีรับสั่งให้คังอิ๋วหวุยเข้าเฝ้า คังได้ถวายหนังสือ ๒ เล่ม เล่มแรกว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปของญี่ปุ่น เล่มที่สองว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปของรัสเซีย จากนั้นคังได้รายงานว่า





คัง: ถ้าไม่ปฏิรูปโดยทั่วถึง การสร้างตนเองให้เข้มแข็งของจีนก็ไม่มีทางเป็นไปได้
จักรพรรดิ: ฉันก็มีความคิดเช่นนั้น
คัง: ในเมื่อพระองค์ดำริที่จะปฏิรูปมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงไม่กระทำการใด ๆ เลยทั้ง ๆ ที่ประเทศกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความหายนะ
เมื่อพระองค์แน่พระทัยว่าไม่มีใครแอบฟังจึงตรัสไปว่า
จักรพรรดิ: ฉันถูกมัดมือมัดเท้าไม่อาจทำอะไรได้อย่างใจ ฉันยินดีที่จะสนับสนุนแต่ต้องรอเวลาอันดีก่อน
ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๙๘ การปฏิรูปเริ่มขึ้นโดยจักรพรรดิเต๋อจง ประกาศราชกฤษฎีกาฉบับแรก มีคังอิ๋วหวุย หลี่ฉี่เชา เป็นที่ปรึกษาอยู่หลังฉาก
พระราชกฤษฎีกา ได้แก่
- ให้มีการจัดตั้งโรงเรียนสมัยใหม่ขึ้นทั่วราชอาณาจักร
- ยกเลิกการสอบไล่แบบเดิม (การเขียนความเรียงแปดขา)
- เริ่มใช้การสอบไล่แบบถามตอบ
- จัดตั้งกระทรวงเกษตรกรรม ฯลฯ
 เมื่อโครงการปฏิรูปประกาศออกมา จักรพรรดิเต๋อจงเริ่มรู้สึกว่าพระองค์กำลังประกาศสงครามกับพระนางซูสีและสถาบันการปกครองอยู่ ฝ่ายพระนางซูสีออกมาคัดค้านพร้อมกับสั่งการให้ทหารจับกุมคณะนักปฏิรูปและองค์จักรพรรดิ
องค์จักรพรรดิถูกจับไปขังที่ทะเลสาบจงหนานไห่ คังอิ๋วหยุนกับหลี่ฉี่เชาหนีรอด นักปฏิรูปส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิต ก่อนที่ถานซื่อถงจะถูกประหารชีวิต ได้กล่าวคำสุดท้ายเอาไว้ว่า “ไม่เคยมีการปฏิรูปที่ไหนจะสำเร็จลงได้โดยไม่มีการหลั่งเลือด”
การปฏิรูปในครั้งนี้สิ้นสุดลงในเดือนกันยายน ในประวัติศาสตร์จีนเรียกช่วงนี้ว่า “ยุคปฏิรูปร้อยวัน” ภายหลังการตายของถานซื่อถงและนักปฏิรูปคนอื่น ๆ พระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิเต๋อจง        ถูกเพิกถอนหมด
อย่างไรก็ตาม แนวคิดในการปฏิรูปภายในประเทศยังคงมีอยู่ กลุ่มปัญญาชนที่ได้รู้เห็นเหตุการณ์และได้รับรู้ถึงแนวคิดการปฏิรูปจากหนังสือต่างมีความคิดว่า “ในเมื่อการปฏิรูปโดยสันติวิธีล้มเหลว ก็ต้องหันเข้าหาการปฏิวัติ”

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น