วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

ในปี 2554 ที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดจากการใช้ Social Media ในการกระจายข่าว
จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองมาแล้วในหลาย ๆ ประเทศ อาทิเช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครองในตูนิเซีย หรือการโค่นล้มประธานาธิบดีของอียิปต์ เป็นต้น
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่นี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าศึกษามากทีเดียว
ซึ่งวันนี้จะขอยกตัวอย่างการปฏิวัติดอกมะลิ (The Jasmine Revolution) มาให้คนที่กำลังคิดจะ "ใช้อำนาจในทางที่ผิด" ได้ศึกษากันสักเล็กน้อย เพื่อที่ว่าจะได้กลับไปคิดทบทวนให้ดีเสียใหม่ ว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไป



•การปฏิวัติดอกมะลิ คือ กระบวนการเชิงวาทกรรมกับการใช้สัญลักษณ์ในการเร่งเร้าอารมณ์และระดมผู้คนเข้าร่วมการขับเคลื่อนทางสังคม เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในภูมิภาคหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศตูนิเซีย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด “การปฏิวัติดอกมะลิ”
•การปฏิวัติดอกมะลิ มีสาเหตุมาจาก “ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ”

ลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ “การปฏิวัติดอกมะลิ”
•การปฏิวัติดอกมะลิ มีจุดเริ่มต้นมาจากชายวัย 26 ปี ชื่อ Mohamed Bouazizi บัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่กำลังตกงาน ซึ่งความสาหัสสากรรจ์ของชายคนหนุ่มคนนี้คือเขาต้องหาเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวอีก 8 คน  ด้วยการเข็นรถขายผักในเมืองซิด บูซิด (เป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งในประเทศตูนิเซีย )
•วันหนึ่งนาย Mohamed ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งจับและยึดรถขายผักไป เนื่องจากเขาไม่มีใบอนุญาตทำการค้า
•เขาจึงให้เงินจำนวน 10 ดินาร์ เพื่อไถ่รถคืน แต่กลับถูกตำรวจหญิงคนนั้นตบหน้า ถ่มน้ำลายใส่หน้า และยังด่าทอบิดาของเขา
•นาย Mohamed จึงตัดสินใจไปร้องเรียนต่อองค์การบริหารระดับจังหวัด แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดสนใจ มิหนำซ้ำเขายังได้รับการปฏิบัติกลับมาราวกับเป็นคนไร้ค่า
•นาย Mohamed ไม่พอใจที่เขาถูกกระทำเช่นนั้น เขาจึงใช้สเปรย์สีฉีดเขียนรำพันความคับแค้นใจและด่าตำรวจกับเจ้าหน้าที่รัฐตามที่สาธารณะ ก่อนจะจุดไฟเผาตัวเองเสียชีวิต เพื่อเป็นการประท้วงเจ้าหน้าที่ของรัฐ
•เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงในเมืองที่เกิดเหตุ และมีการส่งข่าวสารผ่านสังคมออนไลน์  เช่น Facebook Twitter และ YouTube ไปทั่วประเทศ จนเกิดการชุมนุมใหญ่
และนำไปสู่การขับไล่ประธานาธิบดี Zine El Abidine Ben Ali ซึ่งอยู่ในอำนาจมานาน 23 ปี ออกจากตำแหน่ง จนในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนรัฐบาลของตูนีเซีย

ถ้าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ทุกอย่างคงจบตอนที่นาย Modhamed เผาตัวตายเพื่อประท้วงแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันเมื่อข้อมูลทุกอย่างสามารถสื่อสารถึงกันหมด
และที่สำคัญรวดเร็วด้วย การใช้อำนาจในทางที่ผิดของใครก็ช่างเถอะ ถ้าใช้ออกมาแล้วทำให้ประชาชนเห็นว่ามันไม่ชอบธรรม เมื่อนั้นแหละจะเกิดพลังมวลชนเข้ามาเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรม แล้วเหตุการณ์ที่ไม่ค้าดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้ เข้าทำนองที่ว่า
"น้ำทำให้เรือลอยได้ ก็สามารถทำให้เรือจมได้เช่นกัน"


วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

โดย.... นิติภูมิ นวรัตน์ 19 เม.ย. 59 ไทยรัฐออนไลน์

แนวโน้มที่จะก่อให้เกิดวิกฤติความขัดแย้งขั้นสูงถึงขั้นเลือดท่วมแผ่นดิน

มาตรา 31 ซึ่งข้อยกเว้นทั้ง 3 อย่างในมาตรานี้ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก หากรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐไม่รอบคอบ หรือมีอคติ หรือไปห้ามการนับถือศาสนา หรือห้ามการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ก็อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ได้
อ่านเผินๆ ทุกอย่างดีหมด แต่ถ้าอ่านแบบคนรู้ประวัติศาสตร์ ก็จะเกิดความหวาดกลัวว่า ข้อความอย่างนี้เคยสร้างสงครามกลางเมืองมาแล้วในหลายประเทศ

มาตรา 31 บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ข้อความที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญในอดีตจะเขียนว่า บุคคลย่อมได้รับการคุ้มครอง รัฐจะกระทำการอันเป็นการลิดรอนสิทธิเพราะเหตุแห่งความเชื่อทางศาสนาไม่ได้

ส่วนข้อห้ามที่บัญญัติว่า ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ นำมาใส่เฉพาะในร่างรัฐธรรมนูญ 2559 เป็นครั้งแรก

เมื่อมีรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แบบนี้ รัฐก็มีความชอบธรรมในการห้ามการปฏิบัติตามความเชื่อและการทำกิจกรรมของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ โดยอ้างว่าเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ

นี่เป็นความต้องการคุมศาสนาของฝ่ายการเมืองหรือเปล่า? ข้อความประเภทนี้ ทำให้ประเทศตกอยู่ในทะเลเพลิงได้ง่ายดาย ทำให้แผ่นดิน 5.3 แสนตารางกิโลเมตร ลอยอยู่บนน้ำมันเบนซิน ใครโยนไม้ขีดไฟลงไปแม้เพียงแค่ก้านเดียว ก็ไหม้กันหมดทั้งประเทศ



ประเทศที่เปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อยๆ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่มักจะร่างเพื่อแก้ไขวิกฤติของประเทศในห้วงเวลานั้น บางคนร่างเพื่อกีดกั้นคนบางกลุ่มที่พวกตนกลัวว่าจะขึ้นมามีอำนาจในอนาคตอันใกล้หรือเปล่า?

คนร่างซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีอายุมาก ไม่ช้าไม่นาน ก็ตายกลายเป็นผีกันแล้ว แต่รัฐธรรมนูญยังคงใช้บังคับกับผู้คนอีกหลายสิบล้าน

พวกได้ประโยชน์ก็จะแฮปปี้มีความสุขที่สามารถใช้รัฐธรรมนูญกดหัวและบีบรัดชีวิตของคนกลุ่มอื่นๆ พวกนี้ทำงาน 10 แต่ได้ผลประโยชน์ 100 พวกที่เสียประโยชน์ก็จะดิ้นรน หาหนทางต่อสู้ เมื่อต่อสู้ด้วยวิธีทางธรรมดาไม่ได้ ก็จะต่อสู้ด้วยกำลังและอาวุธ

บ้านเรามีนักวิชาการเยอะ ลองให้นักวิชาการไปค้นคว้าประวัติสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในแทบทุกประเทศ ล้วนเกิดมาจากข้อความและการปฏิบัติอย่างนี้ทั้งนั้น

ชาวพุทธเป็นศาสนิกชนเดียวในโลก แม้จะมีมหานิกายและธรรมยุต แต่เราก็มิได้แบ่งแยกเหมือนศาสนิกในศาสนาอื่นที่ประกาศชัดเจนว่า ข้าพเจ้าเป็นคาทอลิก เป็นโปรเตสแตนต์ เป็นซุนนี เป็นชีอะห์ เป็นซิกข์นามธารี ฯลฯ
แต่ด้วยร่างรัฐธรรมนูญมาตรานี้ เมื่อนิกายใดถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจจะมีชาวพุทธบางคนประกาศต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

เดิม คนไทยไม่มีสี แต่โดนฤทธิ์รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 เพียง 20 ปี ไทยกลายเป็นสังคม 2 ข้างอย่างรุนแรง



สังคมแบ่งข้าง แบ่งสี ยังไม่หนักเท่าสังคมแบ่งนิกาย ผมขอเป็น
นอสตราดาโม้ทำนายทายทักว่า สังคมไทยในอนาคตจะกลายเป็นสังคมที่แบ่งว่า ฉันเป็นมหานิกาย ฉันไม่ไปทำบุญกับวัดธรรมยุต ฉันเป็นศิษย์ธรรมยุต ฉันไม่ชอบมหานิกาย

บางคนเป็นธรรมกาย ที่เชื่อว่าตนเองถูกพวกเธอรังแกมาตลอด จึงพร้อมน้อมใจอยู่ในสังคมปิดตามความเชื่อของตน ยิ่งเธอเอารัฐธรรมนูญ มาตรา 31 มารังแกฉัน มากล่าวหาว่าการตักบาตรพระแสนรูปเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ ฉันจะต่อสู้ ฉันอุทิศกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องพระศาสนา ปกป้องในสิ่งที่ฉันเชื่อศรัทธา อย่างนี้เป็นไปได้หรือเปล่า?

อ่านหลายรอบทีเดียวกว่าที่จะเข้าใจ การสื่อความหมายของคุณนิติภูมิ

การที่คนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่าง ต้องมีเหตุจูงใจทั้งสิน

พวกที่มาร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องมีเหตุจูงใจเป็นพิเศษเหมือนกัน จึงได้กล้าที่จะแก้ไข มาตรา31

ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องคอขาดปาดตายของชาวพุทธมาก ถึงมากที่สุด

แรงจูงใจที่ว่านี้แหละชาวพุทธทุกคนต้องช่วยกันสืบ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร?


-----------
ผมมองว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจของรัฐบาล
ถ้ามาตรา31 ร่างขึ้นมาอย่างนี้แสดงว่ามีพวกที่อยู่เบื้องหลัง และพวกที่อยู่เบื้องหลังนี้ ย่อมรู้วิธีที่จะใช้แน่
คราวนี้ถ้ารัฐบาลใช้มาตรานี้บังคับคนพุทธ ผลสะท้อนกลับไม่รุนแรงแน่นอน เช่น กรณีที่เกิดล่าสุดห้ามพระ - เณรหลักแสน ห้ามคนมาตักบาตรหลักล้าน ไม่ให้ไปทำกิจกรรมที่อุบลฯ
ผลสะท้อนกลับคือ ชาวพุทธได้แต่ทำภาพและเขียนข่าวด่าท้อ สอง สามวันก็ลืม
ในทางตรงกันข้ามถ้ารัฐบาลเป็นคนพุทธ แล้วใช้มาตรานี้ไปห้ามการทำกิจกรรมของอีกความเชื่อหนึ่ง ที่นิยมความรุ่นแรงอยู่แล้ว
ผลสะท้อนกลับคงไม่ใช่แบบนี้แน่

จุดตรงนี้นี่แหละที่ผมมองว่า จะเป็นเหตุให้แผ่นดินไทยลุกเป็นไฟ

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

"คนกลุ่มไหนแต่งตั้ง ก็ต้องไปรับใช้คนกลุ่มนั้น"
โดย นิติภูมิ นวรัตน์
ท่านผู้ใหญ่ถามผมว่า
ถ้าการเมืองถอยหลัง
ยอมให้ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีได้
ประเทศไทยและคนไทยจะเป็นยังไง?
ผมเรียนท่านว่า
ไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ล้าหลัง
เศรษฐกิจไทยจะลงเหว
คนไทยจะอดอยากยากแค้น
อีกไม่เกินยี่สิบปี ลูกหลานไทยจะต้องไปเป็นคนใช้ คนงานในเวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา
ท่านผู้ใหญ่เถียงว่า ประเทศจะดีหรือจน คนจะเจริญหรือตกต่ำ มันขึ้นอยู่กับคุณภาพ? ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ว่าแข็งหรืออ่อน? ไม่ใช่เรอะ?
ผมเรียนถามว่า ท่านรู้จักเกาหลีไหมครับ?
ท่านผู้ใหญ่ผงกหัวกึกๆ
ผมพูดต่อว่า  ทั้งคนเกาหลีใต้และคนเกาหลีเหนือ เมื่อก่อนอยู่ในประเทศเดียวกัน มีมาตรฐานชีวิตแบบเดียวกัน
วันหนึ่งประเทศถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน
คือสาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือเกาหลีเหนือ
แม้จะแยกประเทศออกจากกันไปแล้ว
แต่คนเกาหลีทั้งสองประเทศก็ใช้ชื่อนามสกุลเหมือนกัน พูดและเขียนภาษาเดียวกัน มีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายกัน?
ทุกอย่างเหมือนกันเกือบหมด ต่างกันแต่เพียงอย่างเดียว คือเกาหลีเหนือเป็นเผด็จการ เกาหลีใต้เป็นประชาธิปไตย มีระบบเลือกตั้งที่เป็นสากล
ผลก็คือ...
เกาหลีใต้เป็นประเทศเศรษฐกิจดี ผู้คนแฮปปี้มีความสุข
แต่เกาหลีเหนือเป็นประเทศยากจนข้นแค้น ผู้คนไม่มีอะไรจะกิน มีภาพและข่าวเล็ดรอดออกมาบ่อยๆ ว่า เกาหลีเหนืออดยากจนขนาดบางหมู่บ้าน ผู้คนกินหญ้าแทนข้าว
ความแตกต่างของสองประเทศนี้ก็คือ 'การเมืองการปกครอง' ที่เป็นประชาธิปไตย และที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ขอกราบเรียนถามท่านหน่อย ว่า ส.ว.แต่งตั้งยึดโยงกับประชาชนตรงไหน?
ไม่ได้มาจากประชาชนเลยนะครับ คนกลุ่มไหนแต่งตั้ง ก็ต้องไปรับใช้คนกลุ่มนั้น
การให้ ส.ว.แต่งตั้งเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นการพาบ้านเมืองลงนรก ท่านก็รู้ผลอยู่แล้ว ว่าถ้าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์และสากล คนทั้งโลกก็จะไม่ยอมรับ สถานะของประเทศจะตกต่ำย่ำแย่แน่ ทั้งท่านทั้งผมก็พอมองออก ทำไมท่านยังถึงยังกล้าที่จะสนับสนุนให้ประเทศของเราเดินไปสู่นรกขุมนั้นเล่าครับ?
ท่านผู้ใหญ่นิ่ง
ผมจึงรุกต่อ....
55 ปีที่แล้ว
ในทวีปเอเชีย 47 ประเทศ เมียนมาเป็นประเทศที่มีความเจริญอยู่แถวหน้า มีมหาวิทยาลัยที่ได้มาตรฐาน มีระบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย
ถึงคราวที่ทุกประเทศสมาชิกสหประชาชาติจะเลือกผู้นำเบอร์หนึ่งของตน ซึ่งคราวนั้นเป็นวาระของเอเชีย เกือบทุกประเทศเลือกนายอู ถั่น คนเมียนมา ท่านเป็นเบอร์หนึ่งของโลกนี้อยู่นานถึง 10 ปี (30 พฤศจากายน 2504 - 31 ธันวาคม 2514)
ต่อมา เมียนมามีปฏิวัติรัฐประหาร เผด็จการยึดบ้านยึดเมือง เมียนมาจึงตกต่ำไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
จนกระทั้งถึงจุดที่ลูกหลานเหลนโหลนคนเมียนมาต้องเข้ามาเป็นคนใช้ตามบ้านเรือนคนไทย ในปั๊ม ตามโรงงาน ท่านไปดูซี คนเมียนมาทั้งนั้น
สิบกว่าปีมานี้ เกาหลีใต้เป็นประเทศมาแรงแซงโค้งหลายประเทศ เศรษฐกิจเกาหลีใต้ดีมาก การเมืองการปกครองของเกาหลีใต้ก็นิ่งและเป็นประชาธิปไตยสากลสมบูรณ์
1 มกราคม 2550 คนเกาหลีใต้ คือนายบัน คีมุน ก็ได้รับเลือกจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติให้เป็นเลขาธิการ เป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ในขณะที่คนเกาหลีเหนือ 25 ล้าน ที่ใช้ชื่อนามสกุลเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเหมือนกัน กลับแทบไม่มีอาหารจะกิน
ความแตกต่างทั้งหลายนี้ มาจากระบบการเมืองการปกครอง คนเกาหลีเหนือจะเก่งอย่างไร คิดนี่ได้ คิดโน่นได้ คิดดีวิเศษเพียงไหน แต่คนข้างบนสุด คือ นายคิม จ็อง-อึน ไม่เอาด้วย ทุกอย่างก็จบ ที่ทำสร้างและพัฒนามา ก็มีค่าเป็นศูนย์
คณะผู้นำเกาหลีเหนือไม่ยึดโยงกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดี สมาชิกสมัชชาประชาชนสูงสุด นายกรัฐมนตรี ฯลฯ
หน้าที่ของคนไทยในปัจจุบัน เราต้องค้นหาคนที่...
1. แพ้เป็น
2. รู้จักพอ
แบบพลเอก เต็ง เส่ง อดีตประธานาธิบดีเมียนมาที่เพิ่งลงจากตำแหน่งไป ให้เจอ
หลังจากที่คนเมียนมาทั้งประเทศเลือก ส.ส.จากพรรคของนางซูจีท่วมท้น พรรคของพลเอกเต็ง เส่ง แพ้หมดรูป ท่านก็ไปบวชเป็นพระภิกษุ
คนใกล้ชิดเล่าให้ฟัง ท่านเห็นว่าคนเมียนมาทุกข์ทรมานยากจนข้นแค้นแสนสาหัสจากระบบเผด็จการมานาน ท่านจึงวางรากฐานเอาไว้ในระหว่างท่านที่เป็นผู้นำ ให้คนเมียนมามีสิทธิเสรีภาพ
พลเอก เต็งเส่ง เสียสละ
เมียนมาจึงทะยานบิน เป็นประเทศขาขึ้น.
ส่วนไทย เพราะไม่ยึดโยงกับประชาชน
เราจึง...
เป็นประเทศขาลง
.
CR. Michal Huniewicz
On 04:20 by EForL   No comments
ช่วงปลายรัชสมัยของจักรพรรดิเฉิ่งจื่อ (ค.ศ. ๑๔๐๓ - ๑๔๒๔) 
อาณาจักรจีนต้องประสบกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างหนัก 
สาเหตุของปัญหานี้เกิดจาก อัตรารายได้ของขุนนางและข้าราชการชั้นกลางและชั้นผู้น้อย มีอัตราการจ่ายเงินเดือนน้อยมาก ซึ่งต่อมาขุนนางต้องหาช่องทางทุจริตจากโครงการต่าง ๆ ที่ราชสำนักสั่งให้ดำเนินการ ถึงแม้ราชสำนักจะตั้งสำนักตรวจสอบเพื่อเข้ามาแก้ปัญหา แต่ก็ไม่สามารถแก้ได้เพราะ ตัวเจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบเองก็กินสินบนเช่นกัน
ระบบราชการทางทหารก็เช่นเดียวกัน นายทหารชั้นผู้ใหญ่มักยักยอกเงินค่าสวัสดิการที่ราชสำนักสั่งจ่ายให้ทหารชั้นผู้น้อย ยิ่งไปกว่านั้นบรรดานายทหารมักบังคับใช้แรงงานทหารชั้นผู้น้อยเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ทำให้เกิดปัญหาการหนีทัพ เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม กองทัพจำเป็นต้องเกณฑ์ชายทุกประเภทมาเข้ากองทัพ ส่งผลให้กองทัพด้อยประสิทธิภาพ เมื่อถึงคราวที่ต้องรบกันจริงๆ ก็ไม่อาจจะสู้ใครได้



วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เมืองไทยของเรา      เข้าทางลำบาก
เพราะคนใช้ปาก      พูดจาถากถาง
ด่าทอโจมตี              กาลีทุกทาง
สามัคคีอับปาง        ทุกอย่างวุ่นวาย

พวกมึงชั่วช้า          เลวสารพัด
พวกมึงพวกสัตว์    พวกมึงบัดสี
พวงมึงโกงกิน        ทรัพย์สินอัปปรีย์
พวกกูไม่มี              กินขี้กินตังค์

ข่าวทะเลาะกัน     ทุกวันทุกวี่
ทับถมโจมตี          เห็นขี้เห็นไส้
ประชาชนเรา        ก็เศร้าหัวใจ
ได้รับพิษภัย         ไร้สามัคคี

เลิกทะเลาะกัน     ทุกวันทุกวี่
พอเถอะพอที         ไอ้-อีไม่เอา
เมืองไทยเรานี้        สามัคคีกันหนา
พี่ ป้า น้า อา           ช่วยทีช่วยที
Cr. เจ้าคุณพิพิธ

การแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย เกิดขึ้นเมื่อเราเลือกมองแต่ข้อบกพร่องของคนอื่น
เลือกมองแต่ความแตกต่างในตัวผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง
เราทุกคนมีความเหมือนมากกว่าความต่าง
ทุกคนมีพ่อแม่พี่น้อง ทุกคนอยากเป็นคนดี
อยากมีความสุข เคยประสบความพลัดพรากสูญเสีย
รักชาติบ้านเมือง ฯลฯ
หากเราหันมามองเห็นความเหมือนของกันและกันให้มากขึ้น
ใส่ใจกับความแตกต่างให้น้อยลง

เราจะรักและเอื้ออาทรกันมากกว่านี้


วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เด็กๆ มันบ่น ประชาชนเบื่อจนคนในชาติเกือบจะเป็นบ้า เพราะนักปกครองดีแต่พูด
อวดดี
หูเบา
ปากบอน
บุ่มบ่าม
บ้าระห่ำ
และหลงอำนาจ
ขอทีเถอะ อุตสาห์ได้ขึ้นไปเป็นผู้นำของคนแล้ว ตั้งสติเสียใหม่ สำรวจดูว่าอะไรเป็นหน้าที่ที่แท้จริงของนักปกครอง ถ้าตั้งสติดีแล้วยังคิดไม่ออก หรือคิดออกแต่ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะบริหารงานได้ก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ขึ้นไปทำงานแทน

อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด สิ่งที่เขาพูดวิจารณ์ถ้าเป็นจริงก็อย่าเคือง อะไรที่ไม่เป็นเรื่องก็อย่าทำให้เป็นเรื่อง เพราะบ้านเมืองเป็นของพวกเราทุกคน

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มก่อการปฏิวัติ โดยเจตนาแรกที่บอกแก่ประชาชนว่าที่ต้องทำเช่นนี้เพราะ ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบ ในขณะที่ตาสี ยายสาที่ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินอยู่ในชนบทพอทราบข่าวการปฏิวัติถึงกับรำพึงว่า
“นี้บ้านเมืองกรูไม่สงบตั้งแต่เมื่อไหร” แน่นอนละ จะด้วยเหตุผลไหนก็ตามทีเมื่อได้ขึ้นนั่งบนหลังเสือแล้วยังไงต้องอยู่ต่อไป
เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการปกครองประเทศ ก็ต้องสร้างผลงานให้เกิดขึ้น ด้วยการดำเนินตามแบบแผนของคณะปกครองที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลโดยการปฏิวัติ ถ้าใครเคยศึกษาก็จะรู้ว่ามันมีอยู่ไม่กี่แผนงาน คือ
1. กำจัดคนเก่าที่ไม่เข้า “พวก” ออกจากระบบ
2. เอาคนใหม่ที่เป็นพวกขึ้นมาทำงาน
3. แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์แก่การทำงานของพวก และเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกที่สนับสนุนตนด้วย
4. เปิดให้มีการเลือกตั้งเพื่อสร้างความชอบธรรม
เมื่อทุกขั้นตอนผ่านไปได้ด้วยดีบ้านเมืองเราก็จะมีการเลือกตั้ง แต่ ณ ปัจจุบันยังติดอยู่นิดหน่อยคือรัฐธรรมนูญที่ร่างออกมายังไม่ผ่านการเห็นชอบสักที
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากจะเห็นบ้านเมืองมีนักปกครองหน้าใหม่ ที่มีทั้งความรู้ความสามารถและคุณธรรมความดีเข้ามาบริหารประเทศ จึงใคร่อยากจะฝากถึงผู้ที่มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญทั้งหลายช่วยสำเหนียกด้วยว่า จะยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม หรือรัฐธรรมนูญมาตราใหม่ที่ช่วยกันร่างขึ้นมาจะไม่นำมาซึ่งความขัดแย้งภายในบ้านเมืองของเราอีก เพราะรัฐธรรมนูญคือชะตาของชาติ ชะตาจะยาวหรือชะตาจะขาด ก็อยู่ที่ความเฉลียวฉลาดและความรับผิด รับชอบของพวกท่าน