วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559
ซุนจงซาน
หรือเรียกเป็นสำเนียงกว่างตงว่า ซุนยัตเซ็น เกิดปี ค.ศ. ๑๘๖๖ ณ หมู่บ้าน ซุนเฮิง อำเภอจงซาน มณฑลกว่างตง
ตอนอายุ
๑๓ ปี เด็กชายซุนยัตเซ็นได้ออกเดินทางไปอยู่กับพี่ชายที่เกาะฮาวาย (Hawaii) และได้เข้าเรียนในโรงเรียนไอโอคอลเล็จ (IO. College) เป็นโรงเรียนของศาสนาคริสต์ นิกายแองลิคาน
เมื่อสำเร็จการศึกษา ซุนได้รับรางวัลจากการสอบไวยากรณ์ได้เป็นอันดับที่สองของโรงเรียน
ปี ค.ศ.
๑๘๘๓ ขณะที่ซุนยัตเซ็นอายุได้ ๑๘ ปี พี่ชายได้ส่งกลับมาบ้าน
เพราะเห็นว่าซุนคิดจะเปลี่ยนศาสนาไปนับถือคริสต์ แต่เมื่อซุนมาอยู่ที่จีนเขาได้ขอพ่อแม่เพื่อไปเรียนต่อที่ควีนคอลเล็จ
(Queen College) และในที่นี้เองเขาได้เข้ารีตรับศีลเป็นคริสต์ศาสนิกชนโดยสมบูรณ์
ในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างจีน
– ฝรั่งเศส ซุนเกิดความรู้สึกสลดใจที่เห็นประเทศตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาวต่างชาติ
และเกิดความรู้สึกชิงชังราชวงศ์แมนจู เพราะเขามองว่าราชวงศ์แมนจูเป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้นี้
พร้อมกับปฏิญาณกับเพื่อนสนิทว่า ตนจะโค่นล้มอำนาจราชวงศ์ชิงให้จงได้
เมื่อซุนสำเร็จการศึกษาจากควีนคอลเล็จ
เขาได้เดินทางไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยการแพทย์เพื่อชาวจีนในฮ่องกง ทำให้ได้รู้จักกับ
ดร.เจมส์ แคลต์ลี (Jame Cally) ผู้ซึ่งเป็นทั้งครูสอนวิชาแพทย์และสอนวิชาการเมือง
จนทำให้ซุนมีความคิดที่จะทำการปฏิวัติในประเทศของตน
หลังจากที่สำเร็จการศึกษา
ซุนได้เปิดคลินิกที่กว่าวโจว ณ ที่แห่งนี้เองเขาได้พบกับหลวงจีนเต้าซือ
นักบวชลัทธิเต๋าผู้ซึ่งชี้ทางให้ความคิดของซุนกลายการปฏิบัติจริงจัง หลวงจีนแนะนำว่า
“ถ้าจะปฏิวัติจีนให้สำเร็จจะต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาคมลับทั้งหลาย”
ซุนจึงเริ่มสร้างที่ทำการคณะปฏิวัติขึ้นโดยใช้คลินิกของตนเป็นที่ทำการแห่งแรก
ค.ศ.
๑๘๙๔ ซุนได้สร้างที่ทำการของคณะปฏิวัติขึ้นหลายแห่งในกว่างโจว และฮ่องกง
สมาชิกแต่ละคนที่จะเข้าสมาคมต้องปฏิญาณตนว่า “จะขับไล่แมนจู กอบกู้การปกครองของจีน
สถาปนาสาธารณรัฐขึ้น” ถึง ค.ศ. ๑๘๙๕
เมื่อสามารถรวมคนและอาวุธสงครามได้ในระดับหนึ่ง ก็เริ่มวางแผนเข้ายึดกว่างโจว
แต่เนื่องจากมีสมาชิกในกลุ่มทรยศ จึงทำให้ทหารของฝ่ายรัฐบาลนำกำลังมาล้อมจับ เหตุการณ์ล้อมจับในครั้งนี้
ทำให้มีสมาชิกของสมาคมลับถูกจับไปถึง ๔๗ คน ส่วนซุนยัตเซ็นหนีไปญี่ปุ่น
เมื่อมาถึงญี่ปุ่น
ซุนได้พบข้อความในหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นรายงานข่าวว่า “กลุ่มปฏิวัติพยายามยึดอำนาจในกว่างโจว”
นับตั้งแต่นั้น ซุนได้ตัดผมเปียออกแต่งกายแบบชาวตะวันตกและใช้ชื่อความพยายามยึดอำนาจทุกครั้งว่าเป็น
การปฏิวัติ
มิถุนายน
ค.ศ. ๑๘๙๖ ซุนออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา แล้วต่อไปอังกฤษเพื่อศึกษาวิชาการต่าง ๆ ณ ห้องสมุดซุนได้ศึกษารัฐศาสตร์ตะวันตก
เศรษฐศาสตร์ เกษตรศาสตร์ กฎหมาย และวิชาทหาร ตลอดเวลา ๙ เดือนเต็มที่อยู่อังกฤษ
จากการได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้กับคนในอังกฤษทำให้ซุนได้สรุปหลักการปฏิวัติสังคมเพื่อนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไว้
๓ ข้อ ได้แก่
๑)
หมินจู้จู่อี้ (สร้างชาตินิยม) หมายถึง
การโค่นล้มระบอบการปกครองเดิมและการปลดแอกจักรพรรดินิยมต่างชาติออกไป
๒)
หมินฉวนจู่อี้ (สร้างประชาธิปไตย) หมายถึง การมีสิทธิ ๔ ประการ ของประชาชน คือ
-
การแสดงความคิดเห็น
- การลงประชามติ
- การเลือกบุคคล
- การออกเสียงถอดทอนผู้แทน
๓)
หมินเซินจู่อี้ (สร้างสังคมนิยม) หมายถึง ให้ความเสมอภาคในการเป็นเจ้าของที่ดิน
หลัก
๓ ข้อนี้ เรียกว่า หลักไตรราษฎร์ ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นนโยบายหลักของพรรค กั๋วหมินตัง
ปี ค.ศ.
๑๘๙๙ ขณะที่ซุนยัตเซ็นอายุได้ ๓๓ ปี เขาได้เดินทางกลับมาที่ฮ่องกงเพื่อดำเนินแผนการปฏิวัติอีกครั้งหนึ่ง
โดยแบ่งแผนการปฏิวัติออกเป็น ๓ รูปแบบ คือ
รูปแบบที่
๑ มีเฉินเชาปอทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ โดยการออกหนังสือพิมพ์รายวัน
พิมพ์แจกในกว่างโจวและฮ่องกง
รูปแบบที่
๒ มีซื่อเจียนหยูกับฮิรายามะไปสร้างเครือข่าย
กระชับสัมพันธ์กับกลุ่มสมาคมลับทั้งในและนอกประเทศ
รูปแบบที่
๓ มีเจิ้งซื่อเหลียงทำหน้าที่ตั้งรับ
โดยเปิดศูนย์รับผู้ร่วมอุดมการณ์และรับความคิดเห็นขึ้นที่ฮ่องกง
ปี ค.ศ.
๑๙๐๐ ความล้มเหลวในการปราบกลุ่มกบฏนักมวยของราชสำนัก
จนมีความเสียหายอย่างใหญ่หลวงส่งผลให้ประชาชนไม่เชื่อถือในการปกครองแบบเดิม
บรรดาปัญญาชนทั้งหลายต่างพูดถึงแต่การปฏิวัติของซุนยัตเซ็นกันทั้งสิ้น
ข้อเขียนที่มีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของปัญญาชนเป็นอย่างมากในยุคนั้น
คือข้อเขียนของเด็กหนุ่มวัย ๑๙ ปี ชื่อว่าโจวหรง
บทความของโจวหรงถูกจัดพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สูเป้า
(หนังสือพิมพ์ในสังกัดของซุนยัต-เซ็นมีที่ทำการอยู่เซียงไฮ้) มีความยาว ๒,๐๐๐ คำ
ใช้ชื่อเรื่องว่า เก้อมิ่งจุน (กองทัพปฏิวัติ) มีข้อความบางตอนเขียนว่า
“ในเมื่อท่านมีรัฐบาลของท่าน
ท่านก็กุมอำนาจปกครองมันเสียเอง ท่านมีกฎหมายจงปกป้องมันด้วยตัวท่านเอง
ท่านมีอุตสาหกรรม ท่านก็จัดการบริหารด้วยตัวท่านเอง”
โจวหรงต้องการชี้นำให้ประชาชนกล้าที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนและกล้าที่จะออกมาต่อต้านการปกครองในระบอบเก่า
เพียงเดือนเดียวหลังจากบทความถูกตีพิมพ์
กลุ่มนักเขียนสังกัดสำนักพิมพ์สูเป้ารวมทั้งโจวหรง
ถูกทางการแมนจูจับกุมในข้อหาแสดงความคิดเห็นให้ยกเลิกสิทธิพิเศษของจักรพรรดิ
มีโทษติดคุก ๓ ปี โจวหรงถูกทรมานและถึงแก่กรรมในคุกนั้นเอง
ระหว่างปี
ค.ศ. ๑๙๐๒ – ๑๙๐๕ กระแสการปฏิวัติสูงขึ้นมาตามลำดับ
ซุนยัตเซ็นได้เรียกประชุมกับผู้นำคณะปฏิวัติกลุ่มต่าง ๆ ที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่น
ในที่ประชุมซุนยัตเซ็นได้ชี้แจงให้เห็นถึงความจำเป็นในการกองตั้งพรรคการเมืองขึ้น
ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นชอบด้วย จึงได้มีการจัดตั้งพรรคขึ้นในปี ค.ศ.๑๙๐๕ ใช้ชื่อพรรคว่า
ถงเหมินฮุ่ย มีซุนเป็น จ๋งหลี (ประธานพรรค) มีนโยบายหลักของพรรคคือกฎไตรราษฎร์
ช่วงก่อตั้งพรรคใหม่
ๆ มีสมาชิกภายในพรรค ๓๐๐ คน ในปีต่อมาเพิ่มขึ้นถึงหลักพัน
กระจายและแทรกซึมอยู่ทั่วไปตั้งแต่มณฑลกว่างโจว เจ๋อเจียง กว่างตง กว่างซี และเซียงไฮ้
ซุนยัตเซ็นออกเดินทางไปที่ต่าง
ๆ เพื่อหาทุนมาสนับสนุนการปฏิบัติงานของพรรค
และหาโอกาสพบกับบุคคลสำคัญของแต่ละประเทศเพื่อรับทราบข้อมูลของว่ามีท่าทีต่อรัฐบาลแมนจูอย่างไร
วันที่
๒๙ เมษายน ค.ศ. ๑๙๑๑ กองกำลังปฏิวัตินำโดยหวงซิง
ผู้นำอันดับสองของพรรคนำกำลังเข้ายึดอำนาจในกว่างโจวแต่ไม่สำเร็จ
การปฏิบัติการครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต ๗๒ คน
ความพยายามในการยึดอำนาจของคณะปฏิวัติในครั้งนี้เป็นครั้งที่สิบนับตั้งแต่เริ่มก่อการปฏิวัติ
ตุลาคม
ค.ศ. ๑๙๑๑ หลังจากยึดอำนาจที่กว่างโจวไม่สำเร็จ หวงซิงกับหูฮั่นหมินหนีไปฮ่องกง
ขณะที่ซุนยัตเซ็นอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ฝ่ายปฏิบัติงานของคณะปฏิวัติที่ประจำอยู่ที่อู่ฮั่นได้วางแผนที่ยึดอำนาจครั้งต่อไปที่อู่ชาง
เลยเชื้อเชิญให้หวงซิงกลับมาเป็นผู้นำในการปฏิวัติครั้งนี้
หวงซิงตอบตกลง
แต่ต้องเลื่อนกำหนดการไปเป็นวันที่ ๑๖ ตุลาคม ขณะที่กลุ่มปฏิบัติงานรอผู้นำ
ข่าวการยึดอำนาจเริ่มระแคะระคายไปถึงฝ่ายรัฐบาลบ้างแล้ว
ในวันที่
๙ ตุลาคม เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่เขตสัมปทานของรัสเซียในฮั่นโข่ว
ซึ่งเขตนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวและเก็บอาวุธของกลุ่มปฏิวัติ
เมื่อตำรวจมาถึงจุดเกิดเหตุได้พบตราและคำแถลงการณ์ต่าง ๆ มากมาย
นอกจากนี้ยังมีใบรายชื่อของทหารใหม่ที่หันไปสนับสนุนกลุ่มปฏิวัติอีกด้วย
กลุ่มปฏิวัติที่ประจำอยู่อูฮั่นเมื่อทราบข่าวการพบหลักฐาน
ก็เกิดร้อนใจเพราะสมาชิกส่วนใหญ่เป็นทหารกองทัพใหม่ทั้งสิ้น
ถ้าขืนรอคงถูกจับไปประหารชีวิตกันหมดแน่
วันที่
๑๐ ตุลาคม เวลา ๒๑.๐๐ น. เซิ่งผิงจุนนายสิบสังกัดกองพันทหารช่าง
(สมาชิกพรรคถงเหมินฮุ่ย) นำกำลังทหารเข้ายึดคลังกระสุน เมื่อยึดคลังกระสุนได้สำเร็จก็ส่งข่าวไปแจ้งกองพันทหารช่างที่แปด
กองพันปืนใหญ่และเหล่าพลาธิการ ให้ยกกำลังมาสมทบที่ฉูวังไถ
เมื่อกำลังสมทบมาถึงจุดนัดหมาย
รวมแล้วมีทหาร ๓,๐๐๐ นาย เซิ่งผิงจุนได้สั่งการให้เคลื่อนทัพเข้าไปโจมตีทำเนียบผู้สำเร็จราชการที่อู่ชาง
ด้านกำลังทหารของรัฐบาลที่ประจำการอยู่อู่ชางมี ๑๕,๐๐๐ นาย
แต่หนึ่งในสามของทหารทั้งหมดนี้เป็นสมาชิกพรรคถงเหมินฮุ่ย
เมื่อเกิดการปะทะกันขึ้นระบบบัญชาการเลยไม่เป็นผลต่างฝ่ายต่างมึนงง
ช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างทหารรัฐบาลกับกลุ่มนักปฏิวัติ
รุ่ยจิงซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จอู่ชาง
เจาะกำแพงด้านหลังทำเนียบแล้วพาครอบครัวหนีไปทางเรือ
จางเปียวผู้บังคับบัญชากองทัพหนีตามไปด้วย
สุดท้ายทหารรัฐบาลประกาศยอมแพ้เพราะไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร
เช้าวันที่
๑๑ ตุลาคม หลังจากยึดอำนาจที่อู่ชางได้สำเร็จ
กลุ่มนักปฏิวัติได้เรียกประชุมเพื่อเลือกผู้นำชั่วคราว
หลี่เหยียนหงได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการทหาร
ถังฮวาหลงอดีตประธานสภามณฑลหูเปยได้รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการพลเรือน
จากนั้น
ถังฮวาหลงได้ประกาศยกเลิกอำนาจจักรพรรดิผู่อี้ เปลี่ยนชื่อประเทศจากจงกั๋ว เป็น ฮวาหมินกั๋ว
(สาธารณรัฐจีน) แล้วส่งโทรเลขไปถึงมณฑลต่าง ๆ ให้ประกาศตนเป็นอิสระ
มณฑลหูเป่ยประกาศตนเป็นอิสระเป็นมณฑลแรก
หูหนานประกาศตนเป็นอิสระในวันที่ ๒๒ เจียงซีประกาศตนวันที่ ๒๔ ซานซีวันที่ ๒๙
หยุนหนานวันที่ ๓๐ เจ๋อเจียงและเจียงซูประกาศเป็นอิสระวันที่ ๔ พฤศจิกายน
ซานตงวันที่ ๑๓ เสฉวนเป็นมณฑลเดียวที่ต้องหลั่งเลือดในการประกาศอิสรภาพจากราชวงศ์ชิง
ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน จึงสามารถประกาศอิสรภาพได้สำเร็จ
คงเหลือมณฑลจึ๊ลี่
เหอหนาน ที่เป็นเขตอิทธิพลของเมืองหลวงโดยตรงและมณฑลที่ติดพรมแดนอย่าง ซินเจียงกับกานสูที่ยังไม่ประกาศอิสระ
ระหว่างนี้
ซุนยัตเซ็นอยู่ที่กรุงลอนดอนเมื่อได้รับโทรเลขที่แจ้งข่าวเกี่ยวกับความสำเร็จของการปฏิวัติ
ก็ไม่คะนองใจรีบวางแผ่นเกี่ยวกับงานขั้นต่อไปเพื่อให้การปฏิวัติในครั้งนี้ได้ชัยชนะอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าในยุคต้นของราชวงศ์ชิง
อาณาจักรจีนจะสามารถขยายเขตอิทธิพลได้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด
แต่อาณาจักรจีนก็อยู่ในสถานะดินแดนที่โดดเดี่ยว เมื่อมีภัยจากภายนอกเข้ามารุกรานก็ต้องสู้อยู่เพียงลำพัง
การรวมอำนาจการปกครองไว้ส่วนกลาง
มีข้อดีที่เด่นชัดอยู่ประการหนึ่งคือ สามารถนำพาอาณาจักรให้ข้ามพ้นจากความทุกข์เข็ญแล้วสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
แต่แน่นอนว่า เมื่อมีผู้นำขาดคุณธรรมและความสามารถขึ้นมาปกครองแผ่นดิน
ย่อมทำให้เกิดความฉิบหายได้ง่ายเช่นเดียวกัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
เสียงเพรียกแห่งธรรม
บทความยอดนิยม
-
นักปฏิวัติและกวีสาวที่อุทิศชีวิตเพื่ออุดมการณ์ มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะเธอเป็นหญิงจีนคนแรกที่กล้าออกมาเรียกร้องส...
-
"คนกลุ่มไหนแต่งตั้ง ก็ต้องไปรับใช้คนกลุ่มนั้น" โดย นิติภูมิ นวรัตน์ ท่านผู้ใหญ่ถามผมว่า ถ้าการเมืองถอยหลัง ยอมให้ ส.ว.เลือกนาย...
-
โดย.... นิติภูมิ นวรัตน์ 19 เม.ย. 59 ไทยรัฐออนไลน์ แนวโน้มที่จะก่อให้เกิดวิกฤติความขัดแย้งขั้นสูงถึงขั้นเลือดท่วมแผ่นดิน มาตรา 31...
-
ในปี 2554 ที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดจากการใช้ Social Media ในการกระจายข่าว จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองมาแล้วในหลาย...
-
ช่วงปลายรัชสมัยของจักรพรรดิเฉิ่งจื่อ (ค.ศ. ๑๔๐๓ - ๑๔๒๔) อาณาจักรจีนต้องประสบกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างหนัก สาเหตุของปัญหานี้เกิดจา...
-
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มก่อการปฏิวัติ โดยเจตนาแรกที่บอกแก่ประชาชนว่าที่ต้องทำเช่นนี้เพราะ ต้องการให้บ้า...
-
เมืองไทยของเรา เข้าทางลำบาก เพราะคนใช้ปาก พูดจาถากถาง ด่าทอโจมตี กาลีทุกทาง สามัคคีอับปาง ทุกอย่างวุ่นว...
-
ในแผ่นดินจีนช่วงเกิดการปฏิวัติเพื่อโค้นล้มการปกครองแบบศักดินา (ค.ศ. ๑๙๑๑) เมื่อราชสำนักทราบข่าวการก่อปฏิวัติ ก็รีบประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องแล้...
-
อาณาจักรจีนนับตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่สุด คนจีนในยุคก่อนเลยมีความเชื่อว่าอาณาจักรของตนเป็นเจ้าโลก จึงมักเรียก...
-
เด็กๆ มันบ่น ประชาชนเบื่อจนคนในชาติเกือบจะเป็นบ้า เพราะนักปกครองดีแต่พูด อวดดี หูเบา ปากบอน บุ่มบ่าม บ้าระห่ำ และหลงอำนาจ ขอท...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Icon
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น